บทความอัพเดทล่าสุดเมื่อ June 22, 2023
การเลือกซื้อ พื้นกระเบื้อง เพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะแค่เปรียบเทียบที่ราคา หรือภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น บางครั้งจำเป็นต้องเปรียบเทียบเรื่องของคุณสมบัติวัสดุที่เราจะเลือกใช้เป็นองค์ประกอบด้วย อย่างเช่นใครที่กำลังมองหาวัสดุพื้นกระเบื้องสำหรับปูพื้นผนัง หรือท็อปเคาน์เตอร์ แต่ยังติดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใช้เป็นหินแกรนิตธรรมชาติ ที่ให้ความแข็งแกร่ง กับกระเบื้องแกรนิโต ที่มีลวดลายสวยงามดี วันนี้เราจึงมีหลักในการเลือกวัสดุให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อที่จะได้ตรงตามวัตถุประสงค์มาฝากกัน ทั้งนี้ จะเป็นการเปรียบเทียบปัจจัยต่างๆ ตามคุณสมบัติของวัสดุทั้งสองประเภทเป็นหลัก นอกจากนี้ เรายังมีข้อมูลความรู้ดี ๆ มาฝากเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสำคัญของค่าการกันลื่นของกระเบื้อง และวิธีการเลือกกระเบื้องห้องน้ำ มาฝากกันด้วย ไปดูกันเลย
1. ด้านรูปร่างลักษณะและคุณสมบัติภายนอก
หินแกรนิต
หินแกรนิต คือ หินที่เกิดจากธรรมชาติ ฉะนั้น แต่ละแผ่นจึงจะให้สีสันและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับส่วนประกอบทางเคมีและองค์ประกอบของแร่ธาตุตามธรรมชาติที่มีความแตกต่างกัน โดยมากแล้วจะพบเป็นสีขาว ชมพู ส้ม เทา น้ำตาล ไปจนถึงกระทั่งสีดำ อีกทั้งมีให้เลือกทั้งหินในประเทศ และนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าหากจะเลือกนำไปใช้ ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับความชอบและงบประมาณของเจ้าของบ้านด้วย ส่วนขนาดของหินแกรนิตมีให้เลือกแบบสำเร็จรูป คือ 30 x 60 ซม., 40 x 80 ซม., 80 x 80 ซม., 60 x 60 ซม., 60 x 120 ซม., 60 x 150 ซม., 60 x 200 ซม. โดยมีความหนาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7 – 1.8 ซม. และเลือกแบบสั่งตัดตามแบบได้ทั้งขนาดและความหนา อย่างไรก็ดี การเลือกแบบที่สั่งตัด ขนาดที่สั่งจะขึ้นอยู่กับหินแต่ละประเภทว่าสามารถตัดขนาดได้เท่าไหร่บ้าง ข้อดีของการสั่งตัดคือการติดตั้งจะไม่มีรอยต่อ เรียบเนียนเสมอกันทั้งแผ่น และเนื้อสัมผัสจะเป็นแบบผิวมัน แต่หากว่าต้องการผิวแบบหยาบให้ใช้วิธีการพ่นทราย หรือพ่นไฟ หรือจะเซาะร่องตามระยะและความลึกที่ต้องการก็ได้
กระเบื้องแกรนิโต
กระเบื้องแกรนิโต คือ กระเบื้องเซรามิกเนื้อพอร์ชเลนผ่านกระบวนการขั้นตอนการเผาที่อุณหภูมิสูง จึงมีความแข็งแกร่ง ทนทาน ดูดซึมน้ำต่ำ มีลวดลายให้เลือกหลากหลายตามแต่ผู้ผลิตจะออกแบบ ส่วนพื้นผิวมีทั้งแบบผิวด้าน กึ่งเงา และมันเงา ลักษณะของเนื้อกระเบื้องจะเป็นเนื้อเดียวกันทั้งแผ่น ซึ่งหากมีการกระเทาะหรือเกิดรอยขีดข่วนจะสังเกตไม่ค่อยเห็น มีขนาดให้เลือกใช้ เช่น 12 x 12 นิ้ว, 12 x 24 นิ้ว, 24 x 24 นิ้ว มักจะมีขนาดให้เลือกใหญ่กว่ากระเบื้องปูพื้นหรือผนังทั่วไป ความหนาจะอยู่ที่ประมาณ 1 ซม.
2. ด้านการนำไปใช้งาน
หินแกรนิต
หินแกรนิตสามารถสั่งตัดตามรูปแบบที่ต้องการได้ เจ้าของบ้านส่วนใหญ่จะนิยมนำไปใช้งานท็อปเคาน์เตอร์ครัว ท็อปเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าแบบฝัง หรือวัสดุปูพื้นและผนัง เป็นต้น
กระเบื้องแกรนิโต
ในส่วนของกระเบื้องแกรนิโต ซึ่งจะมีขนาดที่มาตรฐานกว่าจึงนิยมใช้ปูพื้นและผนัง โดยเฉพาะงานที่อยู่ภายนอกอาคาร เพราะน้ำหนักจะเบากว่าหิน และติดตั้งได้ง่ายเหมือนกระเบื้องเซรามิกทั่วไป แต่ถ้าหากอยากนำกระเบื้องแกรนิโตไปปูท็อปเคาน์เตอร์ก็สามารถทำได้ เพียงจะมีรอยต่อระหว่างแผ่น ซึ่งต้องได้ช่างปูที่มีความชำนาญมาก เพราะต้องปูกระเบื้องให้ได้ระดับเท่ากันทุกแผ่น เว้นร่องให้สม่ำเสมอ และยาแนวให้เนียนสนิท
3. ด้านการติดตั้ง
หินแกรนิต
เนื่องจากมีน้ำหนักมากจึงต้องทำโครงสร้างรองรับที่แข็งแรงกว่าปกติ และหากนำไปใช้เป็นวัสดุปูพื้นที่ชั้นล่าง ควรมีแผ่นพลาสติกรองใต้พื้นคอนกรีต เพื่อป้องกันความชื้นจากดินที่จะมาสู่หิน เพราะอาจทำให้เกิดรอยด่างได้ ซึ่งการติดตั้งต้องปรับระดับพื้นด้วยปูนทรายหนาประมาณ 3 – 5 ซม. จัดเรียงลายหินแกรนิตตามลวดลายที่ต้องการ
กระเบื้องแกรนิโต
ส่วนการติดตั้งกระเบื้องแกรนิโต ก็เหมือนกับการปูกระเบื้องเซรามิกทั่วไป โดยถ้าเป็นกระเบื้องขนาดใหญ่ตั้งแต่ 80 x 80 ซม.ขึ้นไป จะต้องใช้เครื่องมือจับกระเบื้องเข้ามาช่วยในการติดตั้ง นอกจากนั้น การเว้นร่องยาแนว 2 มิลลิเมตร สำหรับกระเบื้องที่ตัดขอบ และ 3 มิลลิเมตร สำหรับกระเบื้องไม่ตัดขอบ เพราะถ้าปูชิดเกินไปหรือไม่เว้นร่องไว้ อาจเกิดปัญหากระเบื้องขยายตัวแล้วดันกันจนโก่งตัวได้
4. ด้านการดูแลรักษา
หินแกรนิต
ข้อระวังในการเลือกใช้หินแกรนิตก็คือ ความชื้นและความร้อนโดนผิวหน้า เพราะอาจทำให้เกิดรอยด่างได้ง่าย รวมทั้งหมั่นเคลือบด้วยน้ำยากันตะไคร้ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของช่างอยู่เสมอ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาที่มีค่าเป็นกรดทำความสะอาดผิวหน้า
กระเบื้องแกรนิโต
กระเบื้องแกรนิโต จะดูแลรักษาได้ง่ายกว่า แค่หมั่นทำความสะอาดทั้งที่ผิวกระเบื้องและบริเวณร่องยาแนวเป็นประจำ แล้วหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เป็นประเภทกรด-ด่างรุนแรง เพื่อไม่ให้ยาแนวเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วกว่าที่ควร
5. ด้านราคา
เนื่องจาก “หินแกรนิต” เป็นหินที่มาจากธรรมชาติ แน่นอนว่าราคาย่อมสูงกว่า “กระเบื้องแกรนิโต” ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา พื้นผิว ขนาด สีสัน และลวดลาย ของหินแกรนิตด้วย เพราะลวดลายที่แตกต่างกันจะให้ราคาที่ไม่เท่ากัน ส่วนกระเบื้องแกรนิโตราคาจะอยู่ในระดับราคาเท่ากับกระเบื้องเซรามิกทั่วไป
สรุปได้ว่าการเลือก พื้นกระเบื้อง ไม่ว่าจะเป็นหินแกรนิตหรือกระเบื้องแกรนิโตนั้นขึ้นอยู่กับความชอบและงบประมาณของเจ้าของบ้านเป็นหลัก เพราะวัสดุทั้ง 2 ประเภทสามารถตอบโจทย์และใช้งานได้ตามความต้องการของเจ้าของบ้านเองทั้งสองชนิด รวมทั้งต้องพิจารณาเรื่องการดูแลรักษาด้วยว่าสะดวกแบบไหนมากกว่ากัน
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นกระเบื้อง
ทราบกันไปแล้วว่าวัสดุทั้ง 2 ประเภทนั้นมีความต่างกันอย่างไร เราก็อยากพาคุณไปดูความสำคัญของการทำความรู้จักกับค่าการกันลื่นของกระเบื้องเพิ่มเติม เพื่อที่คุณจะได้นำไปตัดสินใจเพิ่มเติม นอกจากนี้ หากคุณสนใจจะเลือกกระเบื้องสำหรับใช้ในห้องน้ำ เรายังมีวิธีการเลือกกระเบื้องห้องน้ำ มาฝากกันด้วย
ทำความรู้จักค่าการกันลื่นของกระเบื้อง
การเลือกประเภทกระเบื้อง ไม่ควรพิจารณาแค่คุณสมบัติของแต่ละประเภท ค่าการกันลื่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามลืม เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคนอยู่อาศัย หากไม่ดูค่ากันลื่น การเลือกกระเบื้องอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี
การทดสอบค่าการกันลื่นตามมาตรฐาน DIN51130 หรือ “Ramp Test” เป็นการทดสอบความลาดชันของพื้นกระเบื้องในห้องทดลอง เพื่อตรวจสอบว่ามีความลื่นไถลในระดับที่เกิดการหกล้มหรือไม่ แบ่งเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่ R9 ถึง R13 ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
- ค่า R9 เป็นค่าที่ถือว่าต่ำสุดที่สามารถรับได้สำหรับกระเบื้องปูพื้นทั่วไป สามารถใช้ในพื้นที่สาธารณะโซนแห้งหรือพื้นทั่วไปในบริเวณบ้าน
- กระเบื้องที่มีค่า R10 เหมาะที่จะใช้กับบริเวณที่ต้องเปียกน้ำ เช่น โรงรถ ห้องน้ำ หรือจุดจอดรถที่อาจจะถูกน้ำฝนตกใส่
- กระเบื้องที่อยู่ในค่า R12 ใช้กับพื้นที่ภายนอกที่มีความลาดชัน เช่น จำพวกทางเดินสำหรับรถเข็น ทางขนของ รวมถึงบริเวณที่มีความมัน อาทิเช่นพื้นที่ต้องมีคราบมันหรือไขมันเกาะอยู่บ่อยๆ
วิธีการเลือกกระเบื้องห้องน้ำ
การเลือกซื้อกระเบื้องห้องน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญในการตกแต่งห้องน้ำอย่างมีสไตล์ โดยวิธีการเลือกซื้อกระเบื้องห้องน้ำที่ถูกต้องจะช่วยให้ห้องน้ำของคุณสวยงามและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น กระเบื้องห้องน้ำสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ ได้แก่
1. กระเบื้องที่ใช้สำหรับพื้นห้องน้ำ
การสร้างห้องน้ำแบ่งเป็นส่วนเปียกและส่วนแห้ง ดังนั้นกระเบื้องก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน สำหรับส่วนเปียกควรเลือกใช้กระเบื้องที่มีลักษณะพื้นผิวหยาบและหนืดเท้าเพื่อป้องกันการลื่นหกล้ม ส่วนส่วนแห้งสามารถเลือกใช้กระเบื้องห้องน้ำแบบใดก็ได้ แต่ถ้ามีผู้สูงอายุอาศัยร่วมด้วยแนะนำให้ปูพื้นกระเบื้องห้องน้ำแบบด้านทั้งโซนเปียกและโซนแห้ง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และห้ามนำกระเบื้องปูผนังมาใช้ในการปูพื้น แต่ส่วนกระเบื้องปูพื้นสามารถนำไปปูผนังได้
2. กระเบื้องสำหรับปูผนังห้องน้ำ
การตกแต่งผนังห้องน้ำควรใช้กระเบื้องโมเสก, กระเบื้องแก้ว, และกระเบื้องเซรามิกเนื่องจากสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้กระเบื้องผิวหยาบ เพราะทำความสะอาดได้ยากและเกิดเชื้อราได้ง่าย แต่กระเบื้องทุกชนิดต้องทำความสะอาดเป็นประจำ เนื่องจากมีรอยต่อเยอะ
สรุปได้ว่า การเลือกใช้วัสดุแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องคุณสมบัติและการดูแลรักษา การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมด้วยงบประมาณ และความต้องการของเจ้าของบ้านเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาเรื่องค่ากันลื่น เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน สุดท้ายควรเลือกใช้กระเบื้องและวัสดุต่างๆ ที่มีคุณภาพและความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ต้องการใช้งาน โดยควรทำความเข้าใจเรื่องรายละเอียดและคุณสมบัติของวัสดุก่อนการตัดสินใจใช้งาน
โฟร์แมนเป็นงานประจำ เขียนบทความเกี่ยวกับช่างและงานก่อสร้างเป็นงานเสริม รักการก่อสร้างเป็นชีวิตจิตใจ สนใจติดต่องานก่อสร้างติดต่อในอีเมลได้เลยครับ ผู้เขียนเว็บไซต์ Constructacon